8 ที่เที่ยวโตเกียวยอดฮิต ที่ไปแล้วมีแต่คำว่า “ว้าว”

โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยเสน่ห์และสีสันที่ไม่รู้จบ จะเป็นนักเดินทางสายชิลล์ สายลุย หรือสายถ่ายรูปฟุ้ง ๆ ที่นี่มีหมด จะวัดเก่าก็มี คาเฟ่ฮิปก็โดน ตึกสูงวิวปัง หรือจะหลงในตรอกซอกซอยก็ยังน่ารักจนใจเจ็บ

ใครที่เคยคิดว่าโตเกียวคือเมืองวุ่นวาย คนเยอะ รถไฟเยอะยิ่งกว่าเส้นสปาเกตตี้ ขอให้เปลี่ยนความคิดครับ เพราะถ้าได้ไปสักครั้ง คุณจะตกหลุมรักเมืองนี้แบบถอนตัวยาก (อย่าว่าแต่ถอนตัวเลย ขากลับนี่น้ำตาซึมทุกที)

โตเกียวตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู ภูมิภาคคันโตของญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน เมืองนี้ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ของความดั้งเดิมไว้อย่างน่าทึ่ง คุณจะได้เห็นภาพของห้างสรรพสินค้าหรูอยู่ติดกับวัดเก่า หรือร้านอาหารมิชลินอยู่ถัดจากร้านราเม็งข้างทางที่คนต่อคิวยาวเหยียด และทั้งหมดนี้อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินถึงกันได้

เหตุผลที่ควรมาเที่ยวโตเกียว

  • ที่เที่ยวโตเกียว มีให้เลือกหลากหลายมาก ตั้งแต่วัด ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ยันย่านแฟชั่นสุดฮิป
  • อาหารญี่ปุ่นในโตเกียวคือระดับโลก ไม่ว่าจะงบน้อยหรือจัดเต็มแบบโอมากาเสะ
  • ระบบขนส่งดีมาก สะอาด ตรงเวลา เชื่อมต่อทุกพื้นที่แบบไร้รอยต่อ
  • ปลอดภัยสำหรับนักเดินทางเดี่ยว ผู้หญิง หรือครอบครัว
  • คนญี่ปุ่นน่ารัก มีอัธยาศัย แม้จะพูดอังกฤษไม่ได้มากแต่ก็เต็มใจช่วยเหลือเสมอ

โตเกียวเหมาะกับใคร

  • สายชิลล์ ที่ชอบเดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูปสวย ๆ กินของอร่อยทีละร้าน
  • สายครอบครัว ที่ต้องการเมืองที่มีทั้งสวนสนุก พิพิธภัณฑ์ และระบบขนส่งที่ปลอดภัย
  • สายช้อป ที่อยากเดินตั้งแต่ห้างหรูยันดองกิโฮเตะ แบบไม่มีเบรก
  • สายวัฒนธรรม ที่อยากเห็นวัด ศาลเจ้า และพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นแบบลึกซึ้ง
  • สายอนิเมะ / มังงะ ที่ใฝ่ฝันจะตามรอยโลกการ์ตูนจากวัยเด็ก

โตเกียวมีทุกอย่างที่คนรักการเดินทางต้องการ และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เมืองนี้จะเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองที่คุณไม่อยากจากไปเลยจริง ๆ

วิธีการเดินทางจากไทยไปโตเกียว

เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) ไปยังสนามบินนาริตะ (NRT) หรือฮาเนดะ (HND)

ไฟลท์ตรงจากไทยไปโตเกียว

  1. Thai Airways (TG)
    • เส้นทาง: BKK → Narita / Haneda
    • จุดเด่น: บริการระดับพรีเมียม อาหารบนเครื่องดีเยี่ยม พนักงานพูดไทยได้
  2. Japan Airlines (JL)
    • เส้นทาง: BKK → Narita / Haneda
    • จุดเด่น: สายการบินญี่ปุ่นแท้ บริการเรียบร้อย ตรงเวลา
  3. ANA (All Nippon Airways)
    • เส้นทาง: BKK → Haneda
    • จุดเด่น: ที่นั่งกว้างสะดวกสบาย ระบบความบันเทิงดีมาก
  4. ZIPAIR Tokyo
    • เส้นทาง: BKK → Narita
    • จุดเด่น: สายการบิน Low-cost ที่ให้บริการดีเกินคาด ราคาย่อมเยา เหมาะกับสายประหยัด
  5. Thai AirAsia X / VietJet Air
    • เส้นทาง: BKK → Narita (บางวันอาจมีให้บริการ)
    • จุดเด่น: ราคาเป็นมิตรสุด ๆ ต้องเตรียมรับมือกับบริการพื้นฐาน

ไฟลท์ต่อเครื่องจากไทยไปโตเกียว

  1. Singapore Airlines
    • BKK → Singapore → Narita / Haneda
    • จุดเด่น: สนามบินชางงีคือสวรรค์แห่งนักเดินทาง ต่อเครื่องสบาย บริการเยี่ยม
  2. Cathay Pacific
    • BKK → Hong Kong → Narita / Haneda
    • จุดเด่น: พักสั้น รวดเร็ว บริการดี อาหารอร่อย
  3. Philippine Airlines / EVA Air / China Airlines
    • BKK → Manila / Taipei / ฯลฯ → Narita / Haneda
    • จุดเด่น: ราคาประหยัดมาก เหมาะกับคนมีเวลาและอยากแวะเมืองอื่น

ราคาตั๋วเครื่องบินโดยเฉลี่ย

  • ไฟลท์ตรง: 10,000 – 18,000 บาท (ไป-กลับ)
  • ไฟลท์ต่อเครื่อง: เริ่มต้น 7,000 – 15,000 บาท (ไป-กลับ)

ระยะเวลาการเดินทางโดยประมาณ

  • ไฟลท์ตรง: 6 – 7 ชั่วโมง
  • ไฟลท์ต่อเครื่อง: 9 – 14 ชั่วโมง (ขึ้นกับช่วงรอต่อเครื่อง)

การเดินทางจาก นาริตะ / ฮานาเดไปโตเกียว

จากสนามบินนาริตะ (Narita – NRT)

  • รถไฟด่วน Narita Express (N’EX) → เข้า Tokyo Station ภายใน 1 ชั่วโมง
  • Keisei Skyliner → เข้า Ueno Station เร็วและประหยัด
  • รถบัสลิมูซีน → ถึงจุดสำคัญในเมือง เช่น Shinjuku, Shibuya, Ikebukuro
  • แท็กซี่ / Uber → แพงมาก (20,000 เยนขึ้นไป) แต่สะดวกโดยเฉพาะเที่ยวกลางคืน

จากสนามบินฮาเนดะ (Haneda – HND)

  • Tokyo Monorail → เชื่อม JR Line ถึงใจกลางเมืองสะดวกมากๆ
  • Keikyu Line → วิ่งตรงถึง Shinagawa, Asakusa, Shibuya ได้ง่าย
  • รถบัส / แท็กซี่ / Uber → ราคาไม่สูงเท่า Narita เหมาะสำหรับเที่ยวดึกหรือนักเดินทางที่มีสัมภาระเยอะ
  • รถเช่า: → เหมาะสำหรับคนที่มีใบขับขี่สากลและอยากเที่ยวรอบนอกโตเกียว เช่น ฟูจิ, ฮาโกเนะ

คำแนะนำ

  • ซื้อบัตร Suica / Pasmo (แบบบัตรหรือในแอปมือถือ) เพื่อความสะดวกในการเดินทางด้วยรถไฟและบัส
  • โหลดแอป Google Maps และ Navitime เพื่อเช็ครอบรถแบบเรียลไทม์

สกุลเงินที่ใช้ในประเทศ

ประเทศญี่ปุ่นใช้สกุลเงิน เยน (JPY) ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักในการซื้อของ ใช้บริการ และเดินทางทุกอย่างในโตเกียว

อัตราแลกเปลี่ยนคร่าว ๆ

  • ณ วันที่ 22 มีนาคม 2025: 1 เยน ≈ 0.24 – 0.26 บาท
  • ตัวอย่างเช่น 10,000 เยน ≈ 2,400 – 2,600 บาทไทย

ควรเช็กอัตราแลกเปลี่ยนก่อนเดินทางผ่านแอปหรือเว็บไซต์ เช่น Wise, XE, หรือแอปธนาคารต่าง ๆ หากจะแลกเงินที่ไทย ควรแลกกับร้านที่มีเรทดี เช่น SuperRich

ควรพกเงินสดหรือใช้บัตร

แม้โตเกียวจะเป็นเมืองที่ทันสมัยสุด ๆ แต่ร้านค้าบางแห่งโดยเฉพาะร้านเล็ก ๆ ร้านราเม็งท้องถิ่น หรือร้านขนมโบราณ ยังไม่รับบัตรเครดิต ดังนั้นควรมีเงินสดติดตัวไว้เสมอ

บัตรเครดิต

  • ร้านใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คาเฟ่ระดับกลาง–บน ใช้ได้เกือบหมด
  • บัตรที่รับส่วนใหญ่: Visa, MasterCard, และบางที่อาจรับ JCB / Amex
  • แนะนำให้แจ้งธนาคารของคุณล่วงหน้าหากจะใช้บัตรในต่างประเทศ เพื่อป้องกันบล็อกการใช้งาน

เงินสด

  • ควรพกไว้ซื้อของในร้านเล็ก ๆ / วัด / ศาลเจ้า / รถขายของข้างทาง
  • ตู้ ATM ที่ใช้ได้ทั่วไปในโตเกียว: 7-Eleven, Lawson, FamilyMart, JP Bank (ในไปรษณีย์)

สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนเดินทาง

ก่อนจะเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น ขอให้มั่นใจว่าคุณเตรียมของเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจมีช็อตเด็ดที่สนามบินหรือด่านตรวจคนเข้าเมืองแน่นอน

เอกสารสำคัญ

  • พาสปอร์ต: ต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน
  • วีซ่า: สำหรับนักท่องเที่ยวไทย ไม่ต้องขอวีซ่า หากอยู่ไม่เกิน 15 วัน (อัปเดต ณ มีนาคม 2025)
  • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และหลักฐานที่พัก: เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นบางท่านอาจขอตรวจ
  • ประกันการเดินทาง: ไม่บังคับ แต่แนะนำให้ทำไว้ เผื่อป่วยกะทันหัน, เที่ยวบินล่าช้า หรือกระเป๋าหาย

เอกสารอื่น ๆ ที่ควรมี (แต่อาจไม่ต้องแสดง)

  • หลักฐานการจองโรงแรมหรือ Airbnb
  • แผนการเดินทางโดยย่อ
  • บัตรเครดิตหรือหลักฐานการเงิน (เผื่อเจ้าหน้าที่ถามเรื่องงบประมาณ)

คำแนะนำ:

  • ปริ๊นท์เอกสารสำคัญเก็บไว้ 1 ชุด เผื่อมือถือแบตหมด
  • เก็บเอกสารทั้งหมดไว้ในแฟ้มเล็ก ๆ หรือกระเป๋าถือ หยิบใช้สะดวก

เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น

แต่งตัวยังไงให้ไม่โป๊ะ แถมยังสวยหล่อพร้อมถ่ายรูปลง IG ทุกฤดู โตเกียวมี 4 ฤดูที่ชัดเจน และแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์ (รวมถึงความเย็นและความร้อน) เป็นของตัวเอง

ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม)

  • อุณหภูมิ: 25 – 35 องศาเซลเซียส
  • เสื้อผ้า: เสื้อยืด, กางเกงขาสั้น, เดรสผ้าบาง, รองเท้าแตะ
  • ของใช้ที่จำเป็น: พัดลมพกพา, ร่มกันแดด, ครีมกันแดด, แป้งเย็น, ผ้าเช็ดเหงื่อแบบเปียก

อย่าประมาทความร้อนแบบชื้นของญี่ปุ่น — มันไม่ใช่แค่ร้อนธรรมดา มันคือ “อบซาวน่าเคลื่อนที่” แบบมีคนเบียด

ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน)

  • อุณหภูมิ: 10 – 20 องศาเซลเซียส
  • เสื้อผ้า: เสื้อแขนยาว, แจ็กเก็ตบาง, กางเกงขายาว, รองเท้าผ้าใบ
  • ของใช้ที่จำเป็น: กล้องถ่ายรูป (ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี), หมวก, ผ้าพันคอ

ช่วงนี้โตเกียวสวยมากกก ใบไม้แดงส้มเหลืองทั้งเมือง แนะนำให้พกพร็อพเสื้อโทนเอิร์ธถ่ายรูปฟุ้ง ๆ

ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์)

  • อุณหภูมิ: 1 – 10 องศาเซลเซียส
  • เสื้อผ้า: เสื้อโค้ท, ฮีทเทค, กางเกงขายาว, ถุงมือ, หมวกไหมพรม, รองเท้าบู๊ต
  • ของใช้ที่จำเป็น: แผ่นร้อน (Kairo), ลิปบาล์ม, ครีมทามือ

ฟินสุดคือตอนหิมะตกบางปีในโตเกียว ถ้าอยากจะเล่นหิมะจริง ๆ อาจต้องไปแถบฟูจิหรือฮาโกเนะต่อ

ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม)

  • อุณหภูมิ: 10 – 20 องศาเซลเซียส
  • เสื้อผ้า: เดรส/เชิ้ตแขนยาว, เสื้อคลุมบาง, รองเท้าผ้าใบ
  • ของใช้ที่จำเป็น: กล้อง, ผ้าเช็ดจมูก (สำหรับคนแพ้เกสร), ครีมกันแดด

ซากุระบานทั้งเมืองช่วงปลายมีนาคม – ต้นเมษายน อย่าลืมพกชุดหวาน ๆ ไว้ถ่ายรูปใต้ต้นซากุระด้วย

แอปที่ควรโหลดก่อนเดินทาง

ก่อนออกเดินทางไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของ ที่เที่ยวโตเกียว อย่าลืมโหลดแอปพลิเคชันเหล่านี้ไว้ในมือถือ รับรองว่าทริปของคุณจะลื่นไหล สะดวก และสนุกยิ่งขึ้น

แอปสำหรับการเดินทาง

  • Google Maps – ขาดไม่ได้ ใช้นำทาง ดูเส้นทางรถไฟใต้ดิน หรือหาร้านอาหารใกล้ตัว
  • Navitime Japan Travel – แอปยอดฮิตของนักเดินทางญี่ปุ่น คำนวณเส้นทางรถไฟ ขึ้นรถไฟกี่โมง เปลี่ยนขบวนที่ไหน บอกหมด
  • Japan Travel by NAVITIME – คล้ายกับแอปด้านบน แต่เน้นความเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า

แอปบัตรโดยสาร & การจ่ายเงิน

  • Suica / PASMO (Apple Wallet หรือแอปเฉพาะ) – เติมเงิน แตะขึ้นรถไฟ รถบัส หรือซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้เลย
  • PayPay / LINE Pay – ใช้จ่ายในร้านค้าต่าง ๆ ได้เหมือน e-Wallet บ้านเรา (ต้องเปิดใช้งานร่วมกับบัตรเครดิต)

แอปสำหรับสายกิน

  • Tabelog – รีวิวร้านอาหารจากคนญี่ปุ่นแท้ ๆ คะแนนละเอียด มีรูปประกอบ ใช้ตัดสินใจเลือกร้านได้ดีมาก
  • Gurunavi – แอปรวมร้านอาหารหลากสไตล์ พร้อมดีลส่วนลดมากมาย

แอปจองที่พัก & จองตั๋ว

  • Agoda / Booking.com – จองโรงแรมหลากหลายระดับ พร้อมรีวิวจากผู้เข้าพักจริง
  • Klook / KKDay – จองบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว, พาสรถไฟ, ทัวร์ในประเทศ ราคาดี บางอย่างถูกกว่าหน้างาน

แอปช่วยสื่อสาร

  • Google Translate / Papago – แปลภาษาญี่ปุ่นเป็นไทยหรืออังกฤษแบบเรียลไทม์ ใช้ส่องเมนูภาษาญี่ปุ่นหรือสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้สบาย

แอปเสริมอื่น ๆ ที่มีไว้แล้วอุ่นใจ

  • Weather Japan – เช็กพยากรณ์อากาศแม่นยำกว่าบางแอประดับโลก
  • Japan Official Travel App – แอปขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) มีข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่การเดินทาง ไปจนถึงที่เที่ยวและเหตุฉุกเฉิน

1. วัดเซนโซจิ (Senso-ji Temple)

วัดเซนโซจิ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “อาซากุสะคันนง” (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดพุทธอันเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ว่ากันว่ามีประวัติย้อนไปถึงปี ค.ศ. 628 เลยทีเดียว จุดเด่นที่เป็นซิกเนเจอร์คือ “ประตูคามินาริมง” (Kaminarimon) ซึ่งมีโคมแดงยักษ์แขวนอยู่ เป็นสัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเช็คอินกันแน่นขนัด ด้านหลังประตูนั้นคือถนนนากามิเสะ (Nakamise-dori) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านขนมญี่ปุ่น ของฝาก เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าเช็ดมือ และกิโมโนแบบแท้ ๆ ให้เช่าหรือซื้อกลับบ้าน ความพิเศษคือบรรยากาศเก่าแก่แบบยุคเอโดะยังคงอยู่ ท่ามกลางความเจริญรอบด้านของมหานครโตเกียว

พอเดินทะลุถนนนากามิเสะไป จะเจอ “ฮอนโด” (Hondo) หรือพระอุโบสถหลักของวัด สักการะเจ้าแม่กวนอิมเพื่อความเป็นสิริมงคล และลองเสี่ยงเซียมซี (Omikuji) ได้ด้วย ถ้าได้ใบดีคือโชคดีสุด ๆ ถ้าไม่ได้ก็มัดใบเซียมซีไว้ที่จุดสำหรับผูกแก้เคล็ด ผู้คนมักจะตื่นเต้นกับศาสตร์ความเชื่อและบรรยากาศญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่สัมผัสได้จากตรงนี้

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลเเมพ
  • ระยะทาง: ประมาณ 6 กม. จากสถานี Tokyo Station (นั่งรถไฟใต้ดิน 15–20 นาที)
  • ทำไมต้องไป: สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ช้อปของฝากออริจินัล พิธีขอพรเสริมสิริมงคล
  • ที่พักแนะนำ: “The Gate Hotel Asakusa Kaminarimon” — จุดเด่นคือวิวโตเกียวสกายทรีจาก Rooftop Bar และเดินไปวัดได้สบาย
  • การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza ลงสถานี Asakusa (ทางออก 1) หรือรถไฟ Toei Asakusa Line
  • แนะนำ: ควรไปช่วงเช้า 7–8 โมง คนยังไม่เยอะ ถ่ายรูปฟิน ๆ โคมแดงประตูคามินาริมงแบบไม่มีใครบัง

2. ชิบูย่า ครอสซิ่ง (Shibuya Crossing)

ชิบูย่า ครอสซิ่ง ขึ้นชื่อว่าเป็น “สี่แยกที่พลุกพล่านที่สุดในโลก” แทบไม่มีช่วงไหนที่คนข้ามน้อย ยกเว้นดึกมาก ๆ หรือเช้าสุด ๆ เท่านั้น เป็นภาพจำอันโด่งดังของโตเกียวที่มักปรากฏในภาพยนตร์หรือมิวสิกวิดีโอระดับโลก จุดเด่นคือทุกครั้งที่สัญญาณคนเดินเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ผู้คนหลายร้อย (หรือพัน) จะข้ามถนนพร้อมกันจากทุกทิศทาง กลายเป็นภาพความวุ่นวายที่ลงตัวจนน่าประทับใจ

ความสนุกคือการลองไปรอข้ามพร้อมคนอื่น ๆ แล้วถ่ายเซลฟี่ หรือจะขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงก็ได้ เช่น จาก Starbucks ชั้น 2 ของตึก Tsutaya (หันหน้าออกแยก) เห็นแยกสุดอลังการแบบเต็มตา หรือใครอยากได้มุมอีกด้านก็ขึ้นตึก “Shibuya Scramble Square” ชมกันได้เช่นกัน นอกจากนี้ข้าง ๆ แยกยังมีรูปปั้นหมาฮาจิโกะ (Hachiko) สุนัขผู้ซื่อสัตย์แห่งตำนานที่เฝ้ารอเจ้าของทุกวันหน้าสถานีชิบูย่า ตอนนี้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยม ใครก็มักจะแชทนัดกันว่า “เจอกันที่รูปปั้นฮาจิโกะนะ”

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: ประมาณ 7 กม. จากสถานี Tokyo Station (นั่งรถไฟ JR Yamanote 15 นาที)
  • ทำไมต้องไป: สัมผัสสี่แยกชื่อดังระดับโลก ถ่ายรูปมุมสูงสุดปัง ช้อปปิ้งร้านดังรอบแยก
  • ที่พักแนะนำ: “Shibuya Excel Hotel Tokyu” — วิวแยกสวยอลังการ เดินลงมาก็คือถนนชิบูย่า
  • การเดินทาง: รถไฟ JR สาย Yamanote, Saikyo, หรือ Tokyo Metro สาย Ginza/Hanzomon/Fukutoshin ลงสถานี Shibuya (Hachiko Exit)
  • แนะนำ: ถ้าอยากได้ภาพ “คนข้ามกันอลังการ” ให้ไปช่วงเย็นหรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แสงสีกลางคืนก็สวยสุด ๆ

3. โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)

โตเกียวสกายทรี หรือ Tokyo Skytree คือหอคอยกระจายสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความสูง 634 เมตร สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2012 ตอนเปิดใหม่ ๆ เป็นที่ฮือฮามาก เพราะตอนนั้นเคยครองตำแหน่ง “โครงสร้างที่สูงที่สุดในโลก” ก่อนที่เบิร์จคาลิฟา (ดูไบ) จะแซงไป จุดเด่นคือจุดชมวิว 2 ระดับ ทั้ง Tembo Deck (ประมาณ 350 ม.) และ Tembo Galleria (450 ม.) บอกเลยว่ามองเห็นโตเกียวแบบ 360 องศาในวันที่ฟ้าเปิด และถ้าโชคดีอาจเห็นฟูจิซังแบบเล็ก ๆ อยู่ขอบฟ้า

ใต้หอคอยมีห้าง Tokyo Solamachi รวมร้านขายของฝาก สินค้าแบรนด์ท้องถิ่น และคาเฟ่น่ารัก ๆ รวมทั้งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Sumida Aquarium อีกด้วย ดังนั้นคุณสามารถใช้เวลาได้ทั้งวันแบบไม่เบื่อเลย พอค่ำก็จะมีไฟประดับที่ตัวหอคอย (เปลี่ยนสีไปเรื่อย) สวยงามมาก จนเรียกว่ามาโตเกียวต้องมาแวะเช็คอินสกายทรีสักครั้งเป็นอันจบพิธี

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 8 กม. จากตัวเมืองหลัก (Tokyo Station)
  • ทำไมต้องไป: ชมวิวพาโนรามาของโตเกียวแบบสุดลูกหูลูกตา ใต้หอมีช้อปปิ้ง/อาหารเพียบ
  • ที่พักแนะนำ: “ONE@Tokyo” — บูติกโฮเทลเก๋ ๆ เดินไป Skytree ไม่กี่นาที
  • การเดินทาง: รถไฟสาย Tobu Skytree หรือ Tokyo Metro Hanzomon ลงสถานี Oshiage (Skytree)
  • แนะนำ: มาเย็น ๆ ดูพระอาทิตย์ตก จากนั้นดูไฟกลางคืนของเมืองสวยสุด

4. ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)

ศาลเจ้าเมจิ เป็นศาลเจ้าชินโตที่อุทิศแด่จักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีโชเก็ง ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้อันร่มรื่นบนเนื้อที่กว่า 700,000 ตร.ม. ใจกลางกรุงโตเกียว (ใกล้ย่านฮาราจูกุและชิบูย่า) เชื่อไหมว่ามีการปลูกต้นไม้นับแสนต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 เพื่อเป็นการอนุรักษ์ป่าให้เป็น ‘ป่าในเมือง’ ที่คนญี่ปุ่นภูมิใจมาก ๆ

เสน่ห์ของศาลเจ้าเมจิคือความสงบร่มเย็นต่างจากความคึกคักของเมืองรอบข้างแบบหน้ามือหลังมือ เข้ามาแล้วเหมือนหลุดสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติ คุณสามารถแวะเขียนแผ่นไม้เอมะ (Ema) ขอพร หรือดูลานพิธีแต่งงานชินโตของคู่บ่าวสาวญี่ปุ่นที่มักมาจัดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นภาพความงดงามตามขนบที่หาได้ยากในเมืองใหญ่ นอกจากนี้หากมาเช้าหน่อย เดินรับออกซิเจนบริสุทธิ์ในเส้นทางใต้ร่มไม้ก็ฟินสุด ๆ

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 5–6 กม. จาก Tokyo Station
  • ทำไมต้องไป: สัมผัสป่าในเมือง บรรยากาศศาลเจ้าชินโตแท้ ๆ ขอพร ได้ชมพิธีแบบญี่ปุ่น
  • ที่พักแนะนำ: “Dormy Inn Premium Shibuya Jingumae” — ไม่ไกลจากฮาราจูกุ เดินไปศาลเจ้าเมจิได้
  • การเดินทาง: JR สาย Yamanote ลงสถานี Harajuku (ทางออกศาลเจ้าเมจิ)
  • แนะนำ: มาช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ ๆ แสงสวย ถ่ายรูปกับประตูโทริอิยักษ์ได้อลังการ

5. ตลาดปลาสึกิจิ (Tsukiji Outer Market)

เดิมทีสึกิจิคือตลาดค้าส่งปลาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่เมื่อส่วนค้าส่งถูกย้ายไปที่โทโยสุ (Toyosu) เหลือโซนร้านอาหารและร้านค้าภายนอกที่เรียกว่า “Tsukiji Outer Market” ให้สายกินได้ฟินกันต่อ ที่นี่จึงเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิ ปลามากุโร (ทูน่า) โอโทโร ไข่หวาน และสตรีทฟู้ดญี่ปุ่นอีกมากมาย บางร้านมีที่ให้นั่งกินหน้าเคาน์เตอร์ บางร้านเป็นแบบยืนกินเร็ว ๆ สไตล์คนญี่ปุ่น

บรรยากาศคึกคักแต่เป็นระเบียบ พ่อค้าแม่ค้าเชิญชวนให้ลองชิม ช่วงเช้าจะสดใหม่เป็นพิเศษ เพราะปลานั้นถูกขนมาจากตลาดโทโยสุตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ถ้าอยากได้ประสบการณ์ซูชิแบบแท้จริงมื้อเช้าล่ะก็ สึกิจิคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์สุด ๆ ยิ่งมากับเพื่อนหลายคนก็สั่งแบ่งกันกินได้หลากหลายเมนู ในราคานักท่องเที่ยวที่เอื้อมถึงได้ ไม่แรงอย่างที่คิด

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 2.5 กม. จาก Tokyo Station
  • ทำไมต้องไป: ลิ้มรสซูชิ ซาชิมิ อาหารทะเลสด ๆ ระดับท็อปของญี่ปุ่นในราคาเอื้อมถึง
  • ที่พักแนะนำ: “Tokyu Stay Tsukiji” — ใกล้ตลาด เดินไม่กี่นาทีก็ถึง แถมมีเครื่องซักผ้าในห้องพัก
  • การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Hibiya ลงสถานี Tsukiji / สาย Oedo ลงสถานี Tsukijishijo
  • แนะนำ: ควรมาตอนเช้า 7–8 โมง ท้องจะได้ว่างพอสำหรับกินทุกอย่างที่เดินผ่าน

6. ฮาราจูกุ (Harajuku – Takeshita Street)

ฮาราจูกุเป็นย่านศูนย์กลางแฟชั่นวัยรุ่นของโตเกียว โดยมีถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) เป็นเส้นเลือดหลักที่ขับเคลื่อนความคึกคักตลอดวัน ถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแนวสตรีท ร้านขนมหวาน ครีมพัฟ วาฟเฟิล เค้กปอนด์เล็ก ๆ และคาเฟ่น่ารัก ๆ จนหลายคนเรียกว่าถนนสาย “คาวาอี้” เพราะบรรยากาศสีสันจัดจ้าน ชวนให้อยากแชะภาพทุกมุม

ความสนุกอีกอย่างคือการแต่งตัวแนวสตรีท ฟรุ้งฟริ้งแบบโลลิต้า ไปจนถึงพังค์โหด ๆ หรือจะผสมความเป็นฮาราจูกุเข้าไปเล็กน้อยในลุคตัวเองก็ดูเก๋ (ขอแค่ใจกล้า) นอกจากนี้ ช่วงสุดสัปดาห์ยิ่งคึกคักหนัก ผู้คนหลากสไตล์มารวมตัวที่นี่เหมือนงานแฟชั่นโชว์ขนาดย่อม ถ้าเดินสุดถนนทาเคชิตะจะทะลุไปสู่ย่าน Omotesando ซึ่งมีร้านแบรนด์เนม และคาเฟ่สไตล์ผู้ใหญ่ขึ้นอีกระดับ เที่ยวให้ครบรสได้ในวันเดียว

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 5 กม. จาก Tokyo Station
  • ทำไมต้องไป: สัมผัสความคัลเลอร์ฟูลของแฟชั่น วัยรุ่น สตรีทฟู้ด ของหวานเก๋ ๆ
  • ที่พักแนะนำ: “Dormy Inn Premium Shibuya Jingumae” — อยู่ระหว่างฮาราจูกุกับชิบูย่า สะดวกลงตัว
  • การเดินทาง: JR สาย Yamanote ลงสถานี Harajuku (Takeshita Exit)
  • แนะนำ: ถ้าชอบถ่ายรูป แนะนำมาวันเสาร์-อาทิตย์ บรรยากาศคึกคัก คนแต่งตัวจัดเต็ม

7. โอไดบะ (Odaiba)

โอไดบะเป็นเกาะเทียมกลางอ่าวโตเกียวที่ถูกถมขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทหารเมื่อศตวรรษที่ 19 แต่ภายหลังพัฒนากลายเป็นย่านศูนย์รวมความบันเทิง ร้านค้า สวนสนุกและพิพิธภัณฑ์ทันสมัย จุดฮิตคือห้าง DiverCity Tokyo Plaza ที่มีหุ่นกันดั้มขนาดเท่าตัวจริงตั้งตระหง่าน บางช่วงจะเปลี่ยนโมเดลหุ่นตามซีรีส์ดังด้วย

นอกจากกันดั้มแล้ว ยังมีจุดเช็คอินสำคัญอื่น ๆ เช่น สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) ตึก Fuji TV สวนสาธารณะริมทะเล Odaiba Seaside Park และพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ Miraikan ซึ่งจัดแสดงเทคโนโลยีล้ำ ๆ ให้คนตื่นตาตื่นใจ ใครมาโอไดบะช่วงเย็น รอชมพระอาทิตย์ตกหลัง Skyline โตเกียวก็สุดโรแมนติก แล้วยังมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ชื่อ Daikanransha ให้นั่งชมเมืองแบบพาโนรามาอีกด้วย

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 9–10 กม. จาก Tokyo Station (ลงรถไฟสาย Yurikamome ได้เลย)
  • ทำไมต้องไป: เจอหุ่นกันดั้มตัวใหญ่ ช้อปปิ้ง-กินสนุก พิพิธภัณฑ์วิทย์ล้ำ ๆ วิวอ่าวโตเกียว
  • ที่พักแนะนำ: “Grand Nikko Tokyo Daiba” — อยู่บนเกาะโอไดบะ วิวอ่าวสวย มีรถไฟเชื่อมเข้ากลางเมืองสะดวก
  • การเดินทาง: รถไฟสาย Yurikamome จากสถานี Shimbashi หรือนั่ง Rinkai Line ก็ได้
  • แนะนำ: ควรมาตอนช่วงเย็นต่อค่ำ ได้ดูไฟสะพานสายรุ้งและกันดั้มที่ส่องแสงตอนกลางคืน

8. กินซ่า (Ginza)

กินซ่าเป็นย่านช้อปปิ้งหรูระดับ Hi-End ของโตเกียว เปรียบได้กับถนนช็องเซลีเซ่ (Champs-Élysées) แห่งปารีสเลยทีเดียว ย่านนี้เคยเป็นโรงกษาปณ์สมัยโบราณ (คำว่า “Ginza” มาจาก “Ginza Yakusho” หรือสำนักงานโรงกษาปณ์) ก่อนจะพัฒนามาเป็นแหล่งของห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนมนานาชาติ ร้านเครื่องประดับ เพชร พลอย รวมถึงแกลเลอรีศิลปะชั้นนำของญี่ปุ่น จุดเด่นคืออาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เรียงรายไปตามถนน Chuo-dori ซึ่งช่วงเสาร์-อาทิตย์จะปิดถนนให้คนเดินชิลล์ (เรียกว่า Hokosha Tengoku หรือ “สวรรค์สำหรับคนเดิน”)

ใครเป็นสายแบรนด์เนมหรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel, Dior, หรือจะสตรีทแฟชั่นแบบ Uniqlo สาขา Flagship ก็ล้วนมีที่กินซ่า ยิ่งช่วงเทศกาลประดับไฟก็โรแมนติกสุด ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารทั้งระดับมิชลินและไคเซกิดั้งเดิม คนญี่ปุ่นมักมาจิบชา หรือทานเค้กในคาเฟ่สวย ๆ ย่านนี้หลังเลิกงาน บอกเลยว่าถ้าอยากเห็นฟีลธุรกิจ-หรูหราในโตเกียว ต้องไม่พลาด!

  • พิกัด: แผนที่กูเกิลแมพ
  • ระยะทาง: 2–3 กม. จาก Tokyo Station (นั่งรถไฟใต้ดินสาย Marunouchi หรือเดินก็ได้ 20 นาที)
  • ทำไมต้องไป: แหล่งช้อปปิ้งหรูสุดในโตเกียว มีห้าง Mitsukoshi, Wako, Chanel, Louis Vuitton ฯลฯ
  • ที่พักแนะนำ: “Mitsui Garden Hotel Ginza Premier” — ห้องพักเห็นวิวเมือง มีบาร์ Rooftop บรรยากาศชิลล์
  • การเดินทาง: Tokyo Metro สาย Ginza ลงสถานี Ginza / สาย Marunouchi / Hibiya ก็เชื่อมได้หลายจุด
  • แนะนำ: เสาร์–อาทิตย์ช่วงบ่าย ถนน Chuo-dori จะปิดให้คนเดินเพลิน ๆ ไม่ต้องห่วงรถ

บทสรุป

โตเกียวเป็นเมืองที่มีทั้งความดั้งเดิมและความล้ำสมัยผสมอยู่ในอัตราส่วนที่พอเหมาะลงตัว จีงทำให้ที่เที่ยวโตเกียวมีความหลากหลาย จนเรียกว่าถ้าอยากจบครบในทริปเดียวแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะไปครั้งเดียวก็ไม่เคยพอ

8 สถานที่ยอดฮิตที่กล่าวมานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “ความว้าว” ในมหานครแห่งนี้เท่านั้น ยังมีอีกเพียบที่รอให้คุณค้นพบ เช่น สวนอุเอโนะ (Ueno Park), พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum), สวนสนุก Tokyo Disneyland / DisneySea และอีกมากมาย

ถ้าอ่านแล้วอยากแพ็กกระเป๋าบินไปโตเกียวเดี๋ยวนี้เลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะนี่คือเอฟเฟกต์ที่โตเกียวมีต่อนักท่องเที่ยวทุกคน สุดท้ายขอให้ทุกคนเที่ยวให้สนุก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ และแชะภาพความทรงจำไว้เพียบ แล้วกลับมาบอกกันด้วยนะครับว่า สุดท้ายแล้ว โตเกียวทำให้คุณพูดว่า “ว้าว” ไปกี่ครั้ง

แชร์บทความ
Scroll to Top